จากสถานการณ์ในปัจจุบันที่มีผู้ป่วยและผู้ติดเชื้อจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 มากกว่า 15 ล้านคนทั่วโลก ส่งผลกระทบที่รุนแรงกับระบบเศรษฐกิจของไทยและของโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อีกทั้งยังไม่สามารถจะคาดคะเนได้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดดังกล่าวจะสิ้นสุดลงเมื่อใด
อย่างไรก็ตามสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในประเทศ และส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศเพื่อช่วยเหลือนักลงทุนไทยในต่างประเทศภายใต้วิกฤตที่ยากลำบาก รวมถึงได้พยายามหาช่องทางและโอกาสใหม่ๆ ให้กับนักลงทุน
กองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ หนึ่งในหน่วยงานของบีโอไอ มองเห็นโอกาสสำหรับนักลงทุนไทย ที่สนใจการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งต่อไปจะเป็นภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างตลาดและสร้างโอกาสให้กับนักลงทุนไทยในอนาคต โดยประเทศในอาเซียนที่จะนำเสนอคือประเทศเวียดนาม และประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบันนับว่าทั้งสองประเทศนี้เป็นประเทศดาวรุ่งที่น่าจับตามอง
เวียดนาม เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติจากญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งยังมีเหตุผลอื่นที่สำคัญที่นักลงทุนต่างชาติตัดสินใจลงทุนก็มาจากเหตุผลเรื่องตลาดที่ประเทศเวียดนามมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว รวมถึงเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
จะเห็นได้ว่าที่ผ่านมา GDP โดยเฉลี่ยของประเทศเวียดนามจะอยู่ระหว่าง 6-7 % มาโดยตลอด และต่างชาติก็มองว่าเวียดนามยังมีจุดแข็งเรื่อง FTA ที่ได้ทำกับประเทศต่าง ๆ มากกว่า 50 ประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะความตกลงการค้าเสรียุโรป (EU-Vietnam Free Trade Agreement: EVFTA) และความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (Comprehensive and Progressive Trans-PacificPartnership: CPTPP) ที่จะสามารถทำการค้ากับกลุ่มประเทศยุโรป และกลุ่มประเทศภาคพื้นแปซิฟิก
อีกทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ยังมีความต้องการนำเข้าวัตถุดิบและส่วนประกอบจากภายนอกประเทศ จึงเป็นโอกาสอันดีที่ภาคอุตสาหกรรมสนับสนุนของไทย ทั้งในด้านการผลิตชิ้นส่วนและการบริการ จะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมที่ประเทศเวียดนามมีความต้องการ ในขณะเดียวกันเมื่อเศรษฐกิจมีการขยายตัว สิ่งที่หนีไม่พ้นคือการขยายตัวของชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อและต้องการความมั่นคงในชีวิต
การขยายตัวด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จึงยังเป็นดาวรุ่งที่มีความต้องการจากผู้บริโภคเป็นอย่างสูง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่ชนชั้นกลางต้องการพักอาศัยภายในเมือง และเพื่อรองรับการขยายตัวของเมืองในรูปแบบต่างๆ อย่างไรก็ตามการดำเนินในเวียดนามมีข้อควรคำนึงในเรื่องกฎหมาย กฎระเบียบ ซึ่งนักลงทุนควรทำการศึกษาให้ดีก่อนทำการลงทุน
ประเทศที่น่าลงทุนในอันดับต่อมาคือ อินโดนีเซีย ปัจจุบันมีประชากรมากกว่า 270 ล้านคน จึงถือว่าเป็นประเทศที่มีตลาดใหญ่ในมุมมองของนักลงทุน มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ทั้งในเรื่องวัตถุดิบแร่ธาตุ และพลังงาน รวมถึงมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
สำหรับโอกาสสำหรับนักลงทุนไทยก็ยังมีอยู่โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกษตร เช่น เมล็ดกาแฟ น้ำมันปาล์ม ยางพารา และสินค้าไทยยังเป็นที่ขายดีในอินโดนีเซีย เช่น เครื่องสำอาง สินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ อุตสาหกรรมที่เป็นดาวรุ่งในช่วงนี้ ได้แก่ ธุรกิจอีคอมเมิร์ส อุตสาหกรรมพลาสติกและบรรจุภัณฑ์
ผู้ประกอบการที่สนใจการลงทุนในต่างประเทศ สามารถติดตามข่าวสารการลงทุนในต่างประเทศได้ที่ เว็บไซต์ https://toi.boi.go.th หรือติดต่อกองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โทรศัพท์ 02 553-8111 ต่อ 8265 หรือทางอีเมล toi@boi.go.th
อย่างไรก็ตามสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนในประเทศ และส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศเพื่อช่วยเหลือนักลงทุนไทยในต่างประเทศภายใต้วิกฤตที่ยากลำบาก รวมถึงได้พยายามหาช่องทางและโอกาสใหม่ๆ ให้กับนักลงทุน
กองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ หนึ่งในหน่วยงานของบีโอไอ มองเห็นโอกาสสำหรับนักลงทุนไทย ที่สนใจการลงทุนในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งต่อไปจะเป็นภูมิภาคที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างตลาดและสร้างโอกาสให้กับนักลงทุนไทยในอนาคต โดยประเทศในอาเซียนที่จะนำเสนอคือประเทศเวียดนาม และประเทศอินโดนีเซีย ปัจจุบันนับว่าทั้งสองประเทศนี้เป็นประเทศดาวรุ่งที่น่าจับตามอง
เวียดนาม เป็นหนึ่งในประเทศที่มีการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติจากญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งยังมีเหตุผลอื่นที่สำคัญที่นักลงทุนต่างชาติตัดสินใจลงทุนก็มาจากเหตุผลเรื่องตลาดที่ประเทศเวียดนามมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว รวมถึงเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
นอกจากนี้ เวียดนามยังมีความพร้อมด้านแรงงาน โดยมีแรงงานในวัยหนุ่มสาวเป็นส่วนใหญ่ โรงงานที่ตั้งอยู่ในเวียดนาม ส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้า ผลิตรองเท้า และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ประเทศที่น่าลงทุนในอันดับต่อมาคือ อินโดนีเซีย ปัจจุบันมีประชากรมากกว่า 270 ล้านคน จึงถือว่าเป็นประเทศที่มีตลาดใหญ่ในมุมมองของนักลงทุน มีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ทั้งในเรื่องวัตถุดิบแร่ธาตุ และพลังงาน รวมถึงมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามเป็นอันดับต้นๆ ของโลก
สำหรับโอกาสสำหรับนักลงทุนไทยก็ยังมีอยู่โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเกษตร เช่น เมล็ดกาแฟ น้ำมันปาล์ม ยางพารา และสินค้าไทยยังเป็นที่ขายดีในอินโดนีเซีย เช่น เครื่องสำอาง สินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากนี้ อุตสาหกรรมที่เป็นดาวรุ่งในช่วงนี้ ได้แก่ ธุรกิจอีคอมเมิร์ส อุตสาหกรรมพลาสติกและบรรจุภัณฑ์
ผู้ประกอบการที่สนใจการลงทุนในต่างประเทศ สามารถติดตามข่าวสารการลงทุนในต่างประเทศได้ที่ เว็บไซต์ https://toi.boi.go.th หรือติดต่อกองส่งเสริมการลงทุนไทยในต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โทรศัพท์ 02 553-8111 ต่อ 8265 หรือทางอีเมล toi@boi.go.th
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น