"ผู้ส่งออกดีเด่น"พาเหรดรับ"PM Award"รางวัลแห่งความภาคภูมิใจ

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน พิธีประกาศเกียรติคุณและมอบรางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ปี 2563 (Prime Minister’s Export Award 2020) โดยมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รายงาน ร่วมกับนายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ  ณ ตึกสันติไมตรี ทําเนียบรัฐบาล



พลเอก ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลได้มีนโยบายในการ พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในภาคการผลิตและบริการให้มีขีดความสามารถในการแข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพัฒนาทักษะผู้ประกอบธุรกิจให้สามารถใช้ประโยชน์จากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การดําเนินธุรกิจ พร้อมทั้งสนับสนุนและกําหนดมาตรการในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและตลาด นายกฯกำชับเรื่องการปรับตัวเข้าสู่ยุค New Normal ช่วยกันขยายตลาดและโดยเฉพาะให้ดูตลาดชายแดนและประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มเติมในสถานการณ์นี้และต้องขอบคุณทุกๆกับการที่ดูแลภาคธุรกิจและลูกจ้าง ไม่ให้คกงาน 

นายกฯ กล่าวว่า คิดว่าสินค้าวันนี้เป็นที่ต้องการของอาเซียน และสินค้าเราแข่งขันได้ ให้เน้นส่งเสริมการขายกับกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย รัฐบาลพยายามช่วยพลักดันกฏหมายให้เป็นสากล เพื่อคุ้มครองและผลักดันสินค้าของคนไทย ให้ไปสู่สากล เมื่อโลกเปลี่ยนเราก็ต้องปรับ ขอให้มุ่งมั่นพัฒนาสินค้าต่อไป และต้องพัฒนาสินค้าของไทยไปด้วยกัน เพื่อสร้างห่วงโซ่ และอยากให้สินค้าที่พัฒนามาจากฐานราก จากเกษตรกร พัฒนาสินค้าให้เป็นสู่ระดับที่สูงขึ้น พร้อมกำชับเรื่องการท่องเที่ยวขอให้สนับสนุนให้เกิดการท่องเที่ยวในประเทศ และให้คนไทยร่วมมือกันโดยไม่ตื่นตระหนก



นายจุรินทร์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาล โดยมีการวางแผนและ ปฏิบัติให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ด้านการสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน รางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่น ประจาปี 2563 หรือ Prime Minister’s Export Award 2020 ถือเป็นส่วนหนึ่งในความมุ่งมั่น ในการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการของไทย มีการพัฒนาอย่างบูรณาการในทุกสาขา และสอดคล้องกับการพัฒนาตามแผนแม่บท ที่รัฐบาลได้วางแนวทางไว้

รางวัล PM Award ถือเป็นรางวัลสูงสุดของรัฐบาลที่มอบให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจ ส่งออกดีเด่น เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งความภาคภูมิใจของประเทศ และเป็นการประกาศเกียรติคุณให้เป็นที่รับรู้อย่างกว้างขวางถึงความสำเร็จและความทุ่มเทของ ผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาตนเอง พัฒนาสินค้า และบริการให้สามารถแข่งขันได้ ในตลาดโลก 



การพิจารณาคัดเลือกผู้เข้ารับรางวัลในแต่ละปี ตลอดระยะเวลาของ การจัดงาน 29 ปี ที่ผ่านมา จะมีขั้นตอนดำเนินการอย่างละเอียดรอบคอบ เป็นระบบและโปร่งใส โดยคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ จากหลาย หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เราจึงมั่นใจได้ว่า ผู้ที่ได้รับรางวัลอันทรงเกียรตินี้ ล้วนแล้วแต่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย ในการผลิตสินค้า และบริการที่ได้ มาตรฐานเป็นที่ยอมรับในตลาดต่างประเทศ

นอกจากนี้ รางวัล PM Export Award ในปีนี้ มีความพิเศษมากขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์ได้เริ่มนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยในการรับสมัครผ่านช่องทาง ออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ เพื่อกระจายโอกาสให้ไปถึงผู้ประกอบการไทยทุกท่าน ขยายฐานของผู้สมัครให้ทั่วถึงทั้ง 76 จังหวัด และเพิ่มจำนวนผู้สมัครรายใหม่ๆ ไม่ว่า เขาเหล่านั้นจะมีภูมิลำเนาอยู่ที่ใด ทั้งนี้เพื่อยกระดับและพัฒนาผู้ประกอบการไทยให้ สามารถเติบโตจากระดับท้องถิ่นไปสู่ระดับสากล  และเพื่อให้ก้าวทันพัฒนาการในโลกดิจิทัลในปี 2563 คณะกรรมการพิจารณารางวัลฯ ได้กำหนดให้มีการมอบรางวัล Prime Minister’s Export Award ใน 7 ประเภทรางวัล และมีบริษัทที่ผ่านการ พิจารณาคัดเลือก และตัดสินให้เข้ารับรางวัลรวม 34 บริษัท 37 รางวัล



"กระทรวงพาณิชย์ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความมุ่งมั่นและเจตนารมณ์อันแน่วแน่ในการสนับสนุนผู้ประกอบธุรกิจไทยผ่านรางวัล PM Award จะเป็นเกียรติและความภาคภูมิใจให้ผู้ประกอบการรักษามาตรฐาน และคุณภาพ รวมทั้งเป็นแรงผลักดันให้เกิดการพัฒนาสินค้าและบริการ อันจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่าง ยั่งยืนต่อไป" นายจุรินทร์ กล่าว

"ชาญวิทย์ วิทยฐานกรณ์" รองกรรมการผู้จัดการบริษัทน้ำมันพืชไทยจำกัดมหาชน ผู้ผลิตและจำหน่วยน้ำมันถั่วเหลืองตราองุ่น  กล่าวว่าจุดเด่นของผลิตภัณฑ์มีทั้งมาจากคุณภาพสินค้าและแพจเกจที่ใช้ได้อย่างสะดวก ทั้งนี้ในแต่ละเดือนที่มีการผลิตน้ำมัน ถั่วเหลืองวัตถุดิบที่สำคัญจะมีความสดเสมอ ไม่ค้างสต็อกหรือเก็บวัตถุดิบเกินระยะเวลาดังกล่าว ซึ่งตลอดเวลา 53 ปีเราได้ยึดหลักดำเนินเช่นนี้ 



สำหรับเนื้อถั่วเหลืองสกัดให้คุณค่าทางอาหารที่ดี มีไขมันที่ร่างกายเราผลิตเองไม่ได้ ผลิตภัณฑ์จะต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นคือฉลากสินค้าบอกจะบ่งบอกถึงการได้รับประกันคุณภาพมีเครื่องหมายรับรอง เพื่อสร้างความมั่นให้กับผู้บริโภค กระบวนการในการผลิตจะเป็นแแบบปิดไม่มีสิ่งเจือปน คัดสรรวัตถุดิบอย่างดี   สำหรับส่วนแบ่งการตลาดผลิตภัณฑ์ตราองุ่นจะอยู่ที่ 29 เปอร์เซ็นถือว่าอยู่ในอันดับหนึ่ง ส่วนรายอื่นส่วนแบ่งตลาด จะอยู่ในระดับ 0.1 , 2 , 5 ,  7 ,  เปอร์เซนต์   

สำหรับรางวัลที่ได้รับมีความภาคภูมิใจเนื่องจากการคัดเลือกผู้ได้รับรางวัลไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากมีผู้สมัครเข้ามากว่า 700 ราย ในอนาคตจะปรับปรุงความสะดวกเรื่องแพจเกจให้ผู้บริโภคใช้อย่างสะดวก เปิดปิดได้ง่ายสะดวกมากขึ้น อีกทั้งปริมาณน้ำมันจะไม่ไหลเลอะเทอะ น้ำมันจะเทออกมาได้มากว่าปกติ ผ่านการออกแบบที่ดี"



"ณัฐศักดิ์ มนัสรังษี" กรรมการผู้จัดการบริษัท k fresh จำกัด  ผู้ผลิตและผู้ส่งออกมะพร้าวน้ำหอมตรา “K FRESH” กล่าวว่า บริษัทดำเนินกิจการส่งออกมะพร้าวผลสดและได้ทำวิจัยนวัตกรรมเพื่อให้ลูกค้าได้บริโภคมะพร้าวที่มีความสะดวกสบายมากขึ้น จากการค้นคว้าเริ่มจากพิจารณาว่าส่วนใดของมะพร้าวที่มีความอ่อนที่สุด เพื่อจะสามารถเจาะและรับประทานได้อย่างง่ายได้จนกระทั่งได้ออกแบบสินค้าภายใต้ชื่อ "coco Thumb" โดยการวิจัยครั้งนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล

ทั้งนี้สินค้าสามารถเก็บได้นานสองเดือนในตู้เย็น โดยส่งออกไปหลายประเทศโดยเฉพาะจีน ฮ่องกง ถือว่าประสบผลสำเร็จมากแม้จะเกิดปัญหาไวรัสโควิดระบาดหรือประท้วงแต่การยอดการส่งออกยังคงเติบโตต่อเนื่อง  ส่วนในประเทศไทยเพิ่งมีการทำตลาดในช่วงนี้ ผู้สนใจสามารถสั่งซื้อทางช่องทางออนไลน์ ซึ่งเป็นแผนการตลาดที่กำลังดำเนินการในขณะนี้ตามการปรับตัวแบบนิวนอร์มอล 



"สินค้าเราเริ่มและประสบผลสำเร็จจากการส่งออก จึงอยากสร้างชื่อในไทย โดยอาศัยความสะดวกในการดูดน้ำมากขึ้น  ประกอบกับใช้วัสดุย่อยสะลายได้ เราได้รับนิยมจากลูกค้าที่มีการถ่ายวีดีโอในติ๊กต็อกและเกิดเป็นไวรัลอยู่ช่วงหนึ่ง สร้างฮือฮาในโลกออนไลน์มาแล้วและคิดว่าเป็นสินค้าของจีน"

อย่างไรก็ตามมีความภาคภูมิใจและดีใจมากกับรางวัลที่ได้รับ ทำให้รัฐบาลได้เห็นและสนับสนุนสินค้าไทยที่ทางบริษัทได้ดำเนินการตามนโยบายไทยแลนด์และเกษตร 4.0 เพื่อให้ผลิตภัฑณ์ก้าวไปสู่ระดับโลกต่อไป



"พิชญา ศรายุทธ"  กรรมการผู้จัดการบริษัท(ดีเอฟที)ประเทศไทย ผู้จัดจำหน่ายสบู่สมุนไพรอิงอร กล่าวว่า มีความภาคภูมิใจและยินดีกับรางวัลที่ได้รับ เพราะจะเป็นเป็นกำลังใจในการพัฒนาสินค้าออกสู่ตลาดและนำแบรนด์ไทยออกสู่ตลาลโลก สำหรับจุดเด่นของสินค้าคือทำจากธรรมชาติ 99 เปอร์เซ็นต์ โดยเน้นใช้สมุนไพรและน้้ำมันพืช บำรุงผิวเป็นหลัก ซึ่งมีข้อดีคือผู้ใช้จะไม่เกิดอาการแพ้  สำหรับผลิตภัณฑ์ของอิงอรที่มีความโดดเด่นและได้รับความนิยมคือ"สบู่ก้อนมะขาม สบู่ก้อนน้ำนมข้าว"ที่ลูกค้าส่วนมากจะมีอายุราว 30 ปี ทั่วประเทศ  

ตลอดเวลา 17 ปีที่เราดำเนินกิจการยอดการขายดีขึ้นต่อเนื่องโดยเจริญเติบโตอยู่ในระดับ  12-13 เปอร์เซ็นทุกปี แม้ในขณะนี้จะมีปัญหาการระบาดของไวรัสโควิดที่กระทบบ้าง  โดยยอดการเติบโตอยู่ที่ 6-7 เปอร์เซ็นต์ แต่ในปีหน้าจะมีแผนการตลาดที่เน้นผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำ แชมพู เป้าหมายอยู่ที่ลูกค้ารายใหม่  ๆ รวมทั้งการผลักดันผลิตภัณฑ์ที่เพิ่งออกใหม่เช่นสบู่ส้มมะละกอ ที่เน้นผิวขา มีสีสัน ได้รับกระแสตอบรับดีมากจากลูกค้ากลุ่มวัยรุ่น ซึ่งเป็นไปตามที่เราได้วางเป้าหมายไว้  เชื่อว่าจะทำให้เรากลับมาเติบโตได้เช่นเดิม 








ความคิดเห็น