พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับทรัพยากรน้ำและกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ จึงได้จัดตั้ง สทนช. ขึ้นเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2560 เพื่อเป็นองค์กรกลางด้านน้ำ มีภารกิจครอบคลุมการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบและขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำภายใต้ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ พ.ศ. 2561 และแผนแม่บททรัพยากรน้ำ 20 ปี ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย พร้อมกับการยกระดับองค์ความรู้ผ่านทางความร่วมมือระหว่างประเทศ โดย 5 ปีที่ผ่านมา สทนช. ได้ขับเคลื่อนการบูรณาการการบริหารจัดการน้ำของภาครัฐ
โดยมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ อย่างไรก็ตาม จากความไม่แน่นอนของสภาพอากาศและความคาดหวังของทุกภาคส่วน จึงทำให้การบริหารจัดการน้ำถือเป็นความท้าทายอย่างมาก ดังนั้น สทนช. จะต้องเป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดนโยบายด้านน้ำ ขับเคลื่อนแผนงานโครงการและบูรณาการการทำงานอย่างมีเอกภาพ ให้เกิดความมั่นคงด้านทรัพยากรน้ำ เพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เนื่องจากน้ำเป็นปัจจัยเริ่มต้นในการขับเคลื่อนทุกภาคการผลิต โดยการจัดงานเสวนาก้าวเข้าสู่ปีที่ 6 ของ สทนช. ในวันนี้ มุ่งหวังให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น ซึ่งจะเป็นส่วนสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติต่อไป
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลได้มีการติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดและมีความห่วงใยผลกระทบที่เกิดขึ้นกับประชาชน โดยสำหรับสถานการณ์ปัจจุบันซึ่งยังคงมีน้ำท่วมขังในหลายพื้นที่ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการระบายน้ำให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็ว พร้อมทั้งให้ความช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา ประชาชนที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ รวมทั้งให้ดำเนินการตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝน เพื่อเตรียมการเข้าสู่ฤดูฝนของพื้นที่ภาคใต้ด้วย และแม้ว่าปีนี้จะมีปริมาณน้ำต้นทุนมากในทุกพื้นที่และมีโอกาสเสี่ยงขาดแคลนน้ำน้อย แต่ก็ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตาม 10 มาตรการรองรับฤดูแล้ง ตามที่ กนช. ได้เห็นชอบแล้วอย่างเคร่งครัด
ดร.สุรสีห์ กิตติมณฑล เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) กล่าวว่า สทนช. เน้นในเรื่องการมีส่วนร่วมเป็นสำคัญ เช่น การปรับปรุงแผนแม่บทน้ำ การขับเคลื่อนโครงการสำคัญระดับประเทศโดยผลักดันสู่ กนช. ถึง 44 โครงการ การกำหนดมาตรการรองรับฤดูฝน ฤดูแล้ง การจัดทำกฎหมายลำดับรองที่แล้วเสร็จไป 25 ฉบับ การจัดตั้งคณะกรรมการลุ่มน้ำ การก่อตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ การจัดทำผังน้ำเสร็จไป 8 ลุ่มน้ำ เช่น ผังน้ำลุ่มน้ำชี มูล เจ้าพระยา และท่าจีน และอยู่ระหว่างดำเนินการอีก 6 โครงการ เช่น ผังน้ำลุ่มน้ำภาคใต้ฝั่งตะวันออกตอนบน การทำแอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น Thai water plan (TWP), Thai Water Assessment (TWA), National Thai water เป็นต้น นอกจากนี้ สทนช. ยังได้มีการปรับโครงสร้างภายใน โดยได้มีการตั้งกองส่งเสริมองค์ความรู้ เพื่อเป็นการเสริมความเข้มแข็งขององค์กรขึ้นอีกด้วย
สทนช. มีความก้าวหน้าที่ใกล้เข้าสู่ความสำเร็จในหลายด้าน ทั้งด้านแผน เช่น ปรับปรุงกรอบแนวทางและค่าเป้าหมายแผนแม่บทน้ำ 20 ปี เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการใช้ธรรมชาติเป็นฐาน โดยแผนแม่บทที่ได้มานั้นจะขยายผลไปในแผนแม่บทลุ่มน้ำซึ่งจะเชื่อมโยงระดับพื้นที่ไปสู่แผนปฏิบัติการ ด้านบูรณาการจัดการน้ำ เช่น ใช้การบริหารจัดการน้ำแบบกลุ่มภูมิภาคและลุ่มน้ำ รวมถึงเน้นการป้องกันเชิงรุก ซึ่งการขับเคลื่อนมาตรการฤดูแล้ง ปี 64/65 ส่งผลให้มีการเพาะปลูกเกินแผนเพียง 1.69 ล้านไร่ เมื่อเทียบกับฤดูแล้ง ปี 63/64 ที่มีการเพาะปลูกเกินแผนมากกว่า 4.3 ล้านไร่ มูลค่าความเสียหายน้อยลง
รวมถึงการป้องกันพื้นที่เศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยปี 64/65 ไม่มีการประกาศพื้นที่ประสบภัยแล้ง นอกจากนี้ เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนปี 2565 ได้มีการกำหนด 13 มาตรการรองรับฤดูฝน และได้มีการจัดตั้งศูนย์ส่วนหน้าเพื่อการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่วิกฤต ด้านกฎหมายและองค์กร จัดทำและยกร่างกฎหมายลำดับรองให้แล้วเสร็จ พร้อมทั้งถ่ายทอดกฎหมายสู่การปฏิบัติ จัดหลักสูตรเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งขององค์กรบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ และถ่ายทอดองค์ความรู้อื่นที่ได้กำหนดไว้ใน พรบ.ทรัพยากรน้ำ กับคณะกรรมการลุ่มน้ำ และด้านต่างประเทศ ได้ประยุกต์ใช้องค์ความรู้จากต่างประเทศสู่บริบทประเทศไทย เช่น เทคนิคการใช้แบบจำลองชลศาสตร์ โดยคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ร่วมกับสาธารณรัฐเกาหลีและสหรัฐอเมริกา รวมถึงการพัฒนาความร่วมมือในการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำโขงกับประเทศเพื่อบ้าน” ดร.สุรสีห์ กล่าว
ดร.สุรสีห์ กล่าวต่อว่า เพื่อเป็นการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ สทนช. เราได้ปรับยุทธศาสตร์ โดยมีวิสัยทัศน์ว่า “เป็นองค์กรชั้นนำในอาเซียนด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ อย่างบูรณาการบนหลักธรรมาภิบาลภายในปี 2570” โดยมีประเด็นยุทธศาสตร์ 3 ยุทธศาสตร์ ได้แก่ 1) การเพิ่มศักยภาพการขับเคลื่อนการพัฒนา อนุรักษ์ และฟื้นฟูทรัพยากรน้ำ 2) การเพิ่มประสิทธิภาพกลไกการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งระบบ และ 3) การพัฒนาการบริหารจัดการ โดยหัวใจในการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของ สทนช. คือ มุ่งพัฒนากลไกและเครื่องมือระบบสารสนเทศด้านทรัพยากรน้ำต่าง ๆ
ทั้งนี้เช่น ศูนย์ข้อมูลระดับประเทศ จังหวัด และระดับลุ่มน้ำ ที่จะต่อยอดไปสู่การใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์และการพยากรณ์ พัฒนาแอปพลิเคชันติดตามประเมินผลภายใต้มาตรการฤดูฝน ฤดูแล้ง รวมถึงแอปพลิเคชันแผนป้องกันน้ำแล้งน้ำท่วม การจัดตั้งสถาบันด้านน้ำ (Water Academy) เพื่อเป็นศูนย์กลางการเพิ่มศักยภาพบุคลากรด้านน้ำ ยกระดับขีดความสามารถ สร้างการบูรณาการองค์ความรู้ การใช้เครื่องมือต่าง ๆ ให้เป็นทิศทางเดียวกัน เป็นต้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น